• กฏหมายใหม่ 23 พรบ+++” จราจร ปรับหนักมาก ถ้ากลัวโดน ทำให้ถูกกฎได้เลย!!

  • เลี่ยงรถติด!!! ทางหลวงแนะนำทางเลี่ยงรถติด ขึ้นเหนือล่องใต้ช่วง ปีใหม่ 2560

  • ไหว้พระปีใหม่ วัดดังฝั่งธน เป็นมงคลแก่ชีวิต รับปี 2560

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2560

ง่ายนิดเดียว!! สะเดาะกุญแจแบบพังๆ

สะเดาะกุญแจแบบพังๆ

  ใครที่ลืมกุยแจ หรือทำกุญแจหาย อย่ากังวลหรือเสียดายกุญแจ
นี่เป็นอีกแบบที่สะดวก รวดเร็ว และง่ายดาย

ชมคลิป



วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ประโยชน์เหลือหลาย หอยเชอรี..หอยที่คนมองข้าม..แก้จนได้


ประโยชน์เหลือหลาย หอยเชอรี..หอยที่คนมองข้าม..แก้จนได้

   หลายคนมาที่ศูนย์ครูชาตรี พอผมบอกว่ากำลังทดลองเลี้ยงหอยเชอรี เกือบทุกคนจะต้องถามว่า...ครูเลี้ยงทำไมมันเป็นศัตรู มีแต่เขาฆ่ามันให้ตาย...ครูชาตรีเลยต้องพูดต้องบอกกันให้เข่้าใจว่า....พี่เอ๋ยน้องเอ๋ยไอ้เจ้าหอยเชอรีท่ีว่ามันเป็นศัตรูนั้นจริงๆมันแก้จนได้เป็นอย่างดีหลายคนไม่ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าส้มตำที่เราสั่งทั้งตำรวม..ตำหอย..ตำลาวนั้นไอ้เจ้าหอยที่ใช้คือเนื้อหอยเชอรีต้มสุกนั่นเอง และที่ว่ามันแก้จนเพราะว่าเนื้อของมันมาต้มสุกที่ตลาดไทเขารับซื้อกิโลกรัมละ40ยิ่งหน้าแล้งราคาขยับตัวถึง60 บาท และถ้าใครเข้าห้างแม็คโคแผนกอาหารแช่แข็งจะเเห็นหอยเป็นชิ้นเท่าลูกเต๋าใส่ถุงแพ็คไว้อย่างดี ที่ถุงติดป้ายไว้ว่าเนื้อหอยโข่งแช่แข็ง..โถ.พี่น้องเอ๋ยหอยโข่งนะที่ไหน..มันหายไปจากแหล่งนำ้นานแล้ว..หอยที่ว่ามันหอยเชอรีนั่นเอง


ที่ศูนย์ครูชาตรี ผมใช้ประโยชน์จากหอยเชอรีหลายอย่างเช่นทำนำ้หมัก บดเป็นอาหารเลี้ยงปลาดุก บางทีเด็กๆเก็บมาย่างไฟจนสุกชิ้มซอสภูเขาทอง กันหรือบางทีก็ยำกิ๊บอร่อย หรือบางที่เด็กๆจับแม่หอยโยนรลงไปในบกระชังเลี้ยงกบ พอหอยออกลูกมาก็เป็นอาหารธรรมชาติของกบ ซึ่งแต่ละปีใช้จำนวนมาก เดี๋ยวนี้หายาก โดนยาชาวนาบ้าง โดนนกปากห่างกินบ้าง ..ครูชาตรีเลยนำมาเลี้ยงซะเลย อาหารที่กินพวกเศษผักและพืชต่างๆตัดโยนลงไปหอยจะมาแทะกิน แต่อาหารจานโปรดของหอยคือมะละกอ กินทั้งใบ ก้าน ต้น ผลดิบ เรียกว่าจากโปรดของเขาเลย พอกินอิ่มก็ปีนข้ึนไปไข่ตามขอบบ่อ ขอบกระชังสีชมพูสดใสประมาณ 15 วันก็จะกลายเป็นหอยตัวอ่อนๆช่วงนี้ถ้าเลี้ยงในบ่อกบกบจะชอบกินมากส่วนตัวเต็มวัยถ้าอาหารสมบูรณ์2เดือนตัวใหญ่ขยายพันธ์ุได้
ที่อีสานมีหมู่บ้านที่มีอาชีพรับซื้อและเก็บรวบรวมขายส่งตลาดไทโดยเฉพาะที่บ้านเหล่าปอแดง เมืองสกลนคร



Cr: Cha Tisol










หน้ากากแม่มด THE MASK SINGER สุนารี ราชสีมา ร้องเพลง "เสียใจได้ยินไหม" ฟังกันชัดๆ นาทีที่ 15.00



หน้ากากแม่มด THE MASK SINGER สุนารี ราชสีมา ร้องเพลง "เสียใจได้ยินไหม" ฟังกันชัดๆ นาทีที่ 15.00


ชมคลิป



เซอร์ไพรส์สุดยอด หน้ากากแม่มด THE MASK SINGER เจ้าของเสียงสวยร้องเพลงร็อกคือนักร้องราชินีลูกทุ่งสาว สุนารี ราชสีมา

          ทำเอาคนดูตื่นเต้นและลุ้นกันทุกสัปดาห์เลย สำหรับรายการ THE MASK SINGER หน้ากากนักร้อง เพราะต้องมานั่งเดากันว่าวันนี้ใครคือนักร้องปริศนากันแน่ และจากสถิติหลายต่อหลายคนทายผิดกันนับครั้งไม่ถ้วน


 สำหรับเทปล่าสุดที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2559 ผลการแข่งขันสรุปว่า หน้ากากแม่มด เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เลยต้องยอมเปิดหน้ากากเพื่อเฉลยตัวตน อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้นเหล่าแขกรับเชิญดาราพากันลุ้นว่าเป็นใคร เดากันใหญ่เลยว่า อาจจะเป็น อ้อม สุนิสา, ปุ๊ อัญชลี, ใหม่ เจริญปุระ ฯลฯ



  เมื่อถึงเวลาเปิดหน้ากากเฉลย ก็ทำเอาหลายคนตกใจ เพราะหน้ากากแม่มดเจ้าของเสียงทรงพลังคนนี้ คือนักร้องลูกทุ่งสาว สุนารี ราชสีมา นั่นเอง แต่ที่ทายกันไม่ถูกน่าจะเป็นเพราะเจ้าตัวเปลี่ยนมาร้องเพลงแนวสตริงนั่นเอง 








ขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.youtube.com/watch?v=8nJE-wr559k

ภาพจาก เฟซบุ๊ก The Mask Singer, WorkpointOfficial 



วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559

รถหรือเครื่องบิน+++ เกือบจะบินได้แล้วแต่สงสัยลืมกางปีก เลยบินไม่ขึ้น



ชมคลิป


รถหรือเครื่องบิน    เกือบจะบินได้แล้วแต่สงสัยลืมกางปีก เลยบินไม่ขึ้น
   การทดสอบความเร็วรถ แต่รถเร็วไปหน่อย บวกกับน้ำหนักอาจจะเบา เลยทำให้รถปลิว นี่ถ้าติดปีก รถอาจจะบินขึ้นไปก็เป็นได้


ปรมาจารย์แคน!!! สุดยอดหมอแคน อ.สมบัติ สิมหล้า


ปรมาจารย์แคน!!! สุดยอดหมอแคน อ.สมบัติ สิมหล้า


ชมคลิป
 


สมบัติ สิมหล้า : เดี่ยวมือหนึ่งแคนอีสาน
   สมบัติ สิมหล้า ลูกชาวนาอีสานเกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2506 บุตรของนายโป่ง นางบุดดี สิมหล้า ที่บ้านวังไฮ ตำบลวังใหม่ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เขาเป็นผู้ที่อยู่ในโลกมืดมาตั้งแต่วัยเด็ก เนื่องจากหมอตำแยที่ทำคลอดเมื่อแรกเกิดหยอดยาผิดจนทำให้ตาติดเชื้อและบอดสนิท
แต่ในโลกแห่งความมืดยังมีแสงสว่างในหัวใจส่องสู่โลกแห่งความสนุกสนานและมนต์เสน่ห์ของดนตรีพื้นบ้านอีสาน เนื่องด้วยทั้งผู้เป็นพ่อเป็นหมอแคนและแม่เป็นหมอลำกลอนแห่งหมู่บ้านจึงได้ถ่ายทอดวิชา เป่าแคน” ให้กับสมบัติ สิมหล้า เป็นเครื่องดนตรีคู่กายและฝึกฝนจนมีความชำนาญเป็นสะพานเชื่อมโยงสู่โลกปัจจุบัน
เสียงแคนคือสื่อมนต์ขลังให้หลายคนคิดถึงบ้าน แต่สำหรับสมบัติ สิมหล้า คือสื่อที่ทำให้เขาได้ตระเวนไปทั่วอีสาน ต่างสถานที่ต่างเวลา ต่างท้องถิ่น และถูกพาไปไกลเรื่อย ๆ โดยขออาศัยนอนตามโรงพัก นอนตามท่ารถ เพื่อให้ได้มาซึ่งเศษสตางค์สำหรับผู้ที่ใจบุญต่อผู้ที่อยู่ในโลกมืดอย่างเขา จนเมื่ออายุได้ 11 ปี  จึงมีโอกาสขึ้นเวทีเป่าแคนให้หมอลำบัวผัน ดาวคะนองหมอลำคำพัน ฝนแสนห่าหมอลำวิรัติ ม้าย่อง โดยได้รับค่าตอบแทนคืนละ  500 บาท  นับว่ามีค่ามหาศาลแตกต่างจากที่เขาต้องตระเวณเป่าแคนในต่างถิ่น
 เมื่อมีความชำนาญด้านการเป่าแคนลายต่าง ๆ สมบัติ สิมหล้า ได้มีโอกาสเข้าประกวดการเป่าแคนที่กองบินทหารอากาศมหาสารคามได้ลำดับที่ 1  และประกวดระดับภาคที่จังหวัดขอนแก่นได้รับรางวัลชนะเลิศ  จึงเป็นเส้นทางให้เขาได้มีโอกาสร่วมบันทึกเสียงแคนให้กับหมอลำชื่อดังหลายคนที่ห้องอัดเสียงสยามจังหวัดขอนแก่น





ชื่อเสียงของสมบัติ สิมหล้า เป็นที่รู้จักของผู้ชมทั่วประเทศและเป็นคนดังทั่วประเทศเมื่อได้รับเชิญจากทีมงานรายการทไวไลท์ไชว์ของไตรภพ ลิมปพัทธิ์  และการแสดงในครั้งนั้นเป็นสะพานเชื่อมโยงสู่การแสดงร่วมนักดนตรีระดับแนวหน้าของเมืองไทย เช่น สุรชัย จันทิมาธร, วง ฟองน้ำ  ของครูบุญยงค์ เกตุคง และอาจารย์บรูส แกสตัน, วงไทยแลนด์ ฟีลฮาร์โมนิก ออร์เคสตาร์ หรือ TPO วงออร์เคสตรา ของคณาจารย์ และนักศึกษาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล อำนวยการวงโดย ดร.สุกรี เจริญสุข รวมทั้งการได้รับเชิญไปแสดงในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา  
ความภาคภูมิใจในชีวิตของสมบัติ สิมหล้า มือแคนจากแดนอีสานนั่นคือการได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษการเป่าแคนให้กับนักศึกษาที่สนใจศิลปะดนตรีพื้นบ้านอีสาน จากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันการศึกษาในภาคอีสานหลายแห่ง  
กับวิถีชีวิตของสมบัติ สิมหล้าในวันนี้เขามีความสุขกับครอบครัวโดยได้พบรักกับหลานสาวของหมอลำผีฟ้าแห่งบ้านไชโย อำเภอบรบือ มีความสุขตามอัตภาพโดยมีลูกสาวอีกคนเป็นโซ่ทองคล้องใจ และเขาที่มุ่งมั่นให้เป็นหมอแคนหญิงในอนาคตให้ได้ โดยพักอยู่ที่ บ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ บ้านวังไฮ ตำบลวังใหม่ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม รับงานแสดงทั่วไปและเป็นอาจารย์พิเศษในสถานการศึกษาเป็นบางช่วง
สำหรับแคนคู่ใจของสมบัติ สิมหล้า ได้มีความหมายและความสำคัญต่อวิถีชิวิตทั้งในอดีตและปัจจุบันว่า
แคนเป็นเครื่องดนตรีที่ดึงดูดคนอีสานไว้ด้วยกัน ผูกมัดหัวใจเขาไว้ด้วยกัน เครื่องดนตรีชนิดใดก็ขาดได้ แต่ถ้าขาดแคนไปเสียแล้วทำอะไรไม่ได้เลย หมอลำลำไม่ได้ถ้าไม่มีแคน ไปไหนก็แล้วแต่ คิดถึงบ้านก็ต้องเป่าแคน ฟังแคน
 “มันสำคัญขนาดคนอีสานสมัยก่อน ถ้าไม่มีแคนนี่แทบหาเมียไม่ได้ เพราะเขาต้องสะพานแคนออกไปจีบสาว ออกพรรษาแล้วเวลาเขานวดข้าวหรือเข็นฝ้าย อากาศหนาว ๆ พวกหนุ่ม ๆ ก็สะพานแคนเดินไป พอเจอบ้านไหนก็หยุดเป่า เอาเม็ดมะขามมาคั่วกิน ผิงไฟไป คุยกับผู้สาวไป
หากไม่มีแคนในวันนี้วิถีชีวิตของสมบัติ สิมหล้า คงไม่ได้เปิดโลกทัศน์ดนตรีพื้นบ้านอีสานเป็นสะพานเชื่อมสู่โลกยุคเทคโนโลยีกับดนตรีสมัยใหม่ ดังคำกล่าวของเขาที่กล่าวไว้ว่า
"อย่าไปน้อยใจ ท้อแท้ใจ คนเราถ้ายังไม่หมดลมหายใจ ก็อย่าไปท้อ ผมเกิดมายังไม่ทันได้เห็นอะไร ตาก็บอดเสียแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยท้อ ยิ่งท้อยิ่งทำให้อายุสั้น"

ข้อมูล/ภาพประกอบการเขียน            
กฤษกร วงค์กรวุฒิ. เสียงแห่งชีวิตของสมบัติ สิมหล้า.  ค คน Magazine : ปีที่ 3 ฉบับที่ 8 มิถุนายน 2551                                                                 http://www.isangate.com/author/artist.htm                    http://www.music.mahidol.ac.th/journal/september2002/kaen.html

http://oknation.nationtv.tv/blog/numsunjon/2008/11/28/entry-1







มงคลยิ่ง!!! กรมศิลปากรอัญเชิญพระพุทธรูปโบราณให้ประชาชนสักการะรับปี 2560



มงคลยิ่ง!!! กรมศิลปากรอัญเชิญพระพุทธรูปโบราณให้ประชาชนสักการะรับปี 2560

 
ประวัติการสร้างพระพุทธรูป
   ในระยะแรกหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พุทธศาสนิกชนก็ได้นำเอา ดิน น้ำ และใบโพธิ์จากสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ สถานที่ประสูติ (ลุมพินีวัน) ตรัสรู้ (พุทธคยา) ปฐมเทศนา (พาราณสี) และ ปรินิพพาน (กุสินารา) เก็บมาไว้เพื่อบูชาคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมามีการสร้างรูปอื่นที่เป็นสัญลักษณ์เพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ เช่น ทำดวงตราสัญลักษณ์ประจำสถานที่ต่างๆ ขึ้น ด้วยดินเผาหรือแผ่นเงิน เช่นที่เมืองกบิลพัสดุ์สร้างตราดอกบัว หมายถึงมีสิ่งบริสุทธิ์เกิดขึ้น และตราม้า หมายถึงม้ากัณฐกะ ที่เมืองพาราณสีสร้างตราธรรมจักร มีรูปกวางหมอบอันหมายถึงการแสดงธรรมจักร และพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงสร้างเสาหินอโศกไว้ในสถานที่ประสูติ เป็นต้น
    ส่วนการสร้างพระพุทธรูปมีประวัติความเป็นมาดังนี้ คือ ตามตำนานพุทธประวิติกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าปเสนธิโกศลแห่งแคว้นโกศล ได้โปรดให้ช่างจำหลักพระรูปเหมือนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นจากไม้แก่นจันทร์ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธองค์ที่เสด็จไปจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดา นับเป็นการสร้างพระพุทธรูปเป็นครั้งแรก แต่ตำนานพระแก่นจันทร์นี้ บางท่านกล่าวว่าเป็นเพียงตำนานที่ยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่นับพระแก่นจันทร์ก็สันนิษฐานกันว่า พระพุทธรูปนั้น เริ่มสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๗ ตั้งแต่สมัยคันธารราฐ ซึ่งเป็นแคว้นที่อยทางตอนู่เหนือ ของอินเดียโบราณ (ปัจจุบันอยู่ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานและตะวันออกของอัฟกานอสถาน) ผู่ริเริ่มสร้างไม่ใช่ชาวอินเดียแต่เป็นพวกโยนก (กรีก) สันนิษฐานว่าเริ่มสร้างในสมัยพระเจ้าเมนันเดอร์หรือพระเจ้ามิลินท์ กษัตริย์เชื้อสายกรีกแห่งแคว้นคันธาระ หรือคันธาราฐ
   เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชนำพระพุทธศาสนาเข้าไปเผยแผ่ในคันธาราฐ พวกโยนกยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา พระเจ้ามิลินท์มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก แสดงองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจิริญรุ่งเรือง แต่เดิมนั้นพระพุทธศาสนาไม่มีรูปเคารพแต่อย่างใด เพราะในสมัยอินเดียในสมัยนั้นมีข้อห้ามในการทำรูปเคารพ แต่เคยนับถือศาสนเทวนิยมและจำหลักรูปเคารพของเทพเจ้ากลุ่มโอลิมปัสมาก่อน เช่น รูปอพอลโลและซีอุส เมื่อเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา ก็เลยจำหลักศิลารูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นเคารพบูชาเป็นครั้งแรก

ที่มา: http://www.dhammathai.org/pang/pang.php

ชนยับ!!! กระบะโผล่ในซอยแคบ ชนรถที่แล่นมาทางตรงอย่างจัง


ชนยับ!!! กระบะโผล่ในซอยแคบ ชนรถที่แล่นมาทางตรงอย่างจัง

ชมคลิป


   เป็นเหตุการณ์ที่มีคนถ่ายไว้ได้ มีรถกระบะคันหนึ่งแล่นมาทางตรงในซอยแคบๆ  แต่ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งโผลออกมาจากซอย
ชนรถที่แล่นมาอย่างจัง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าคนขับรถที่โผลออกมาชนนั้น ขับมาด้วยความเร็ว ถ้าไม่ชนรถที่แล่นมาก็น่าจะชนกำแพงที่อยู่ข้างหน้านั้น...

ประหยัดจริงไหม!!! "แม็กนุฟิวล์" ตัวช่วยที่จะทำให้คุณประหยัดน้ำมันรถ แต่มีคำสั่งห้ามจากกระทรวงการขนส่ง



คำสั่งห้ามจากกระทรวงการขนส่ง "แม็กนุฟิวล์"!

   เมื่อวันที่ 29. 13. 2016 มีคำสั่งห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่เรียกว่า แม็กนุฟิวล์ ผลิตภัณฑ์นี้ไม่เพียงแต่โดนแบนในประเทศไทย แต่รวมไปถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด

.เจ้าหน้าที่กระทรวงการควบคุมความปลอดภัยได้ทำการตรวจสอบและพบว่าในผู้ค้าปลีกที่ได้รับการตรวจสอบมากกว่า 70% มีอุปกรณ์แม็กนุฟิวล์ที่ก่อให้เกิดอันตรายที่นำไปใส่รถ

จุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ:

   "ต่อไปนี้มีข้อห้ามสำหรับยานยนต์ที่ใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำมันอย่างไม่เป็นไปทางการและเพื่อให้มีความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้ใช้จึงมีการดำเนินการสั่งห้ามสินค้าดังกล่าว คืออุปกรณ์ที่คล้ายกับแม็กนุฟิว์ล ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องห้ามทั้งหมด"
 

ตามที่ปรากฏในประเทศไทยในปีที่ผ่านมาอุปกรณ์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงแม็กนุฟิวล์ได้มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมยานพาหนะ โดยได้ผ่านการทดสอบหลายครั้งโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะพิสูจน์ว่าอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 20-30% ช่วยลดการใช้น้ำมันและเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพ การทดสอบแสดงให้เห็นผลในเชิงบวกนี้นำไปสู่การรับรองมาตรฐานของอุปกรณ์ที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าปลอดภัยที่จะใช้เพราะประกอบด้วย 2 แม่เหล็กนีโอไดเมีย (NdFeB) ที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อรถของคุณ ดังนั้นคำถามคือ - ทำไมกระทรวงจึงต้องการที่จะสั่งห้ามสินค้าดังกล่าวนี้
ผมจะแบ่งปันความคิดเห็นที่ซื่อสัตย์ของผมให้เห็นถึงมุมมองส่วนตัวในหัวข้อนี้ โดยไม่จำเป็นต้องระบุตำแหน่งของเว็บไซต์หรือสำนักงานบรรณาธิการ.


คุณรู้ว่าอะไรคืออุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก? คุณกำลังเดาใช่ไหม? 7 ใน 10 รายได้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในอุตสาหกรรมคือน้ำมันและก๊าซ ผมไม่ได้พยายามที่จะบอกอะไร แต่มันคือความจริง และก็ไม่ยากสำหรับคนที่คิดอยู่ในใจ

เราอยู่ในช่วงเวลาที่เงินคือทุกอย่าง ผมแน่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้รับภาวะกดดันจากทางกระทรวงนี้ และเรากำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการให้ความสนใจเรื่องการส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของอุตสาหกรรมน้ำมัน


แน่นอน , นวัตกรรมนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ประหยัดได้อย่างรวดเร็วในหมู่เจ้าของรถธรรมดา

ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและมีต้องการที่เพิ่มขึ้นจนนำไปสู่การเกิดของลอกเลียนแบบสินค้าจากจีนซึ่งมีราคาถูกและไม่ได้รับการรับรองใดๆ จีงเป็นเรื่องยากที่จะแยกระหว่างของแท้หรือของปลอมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณไม่ทราบวิธีการดูอุปกรณ์แม็กนุฟิวล์



ดังนั้นควรระมัดระวังเมื่อซื้ออุปกรณ์ (ในกรณีที่คุณต้องการสั่งซื้อ): ไม่ควรซื้อจากผู้ขายที่ไม่มีใบรับรอง
เพื่อป้องกันตัวเองและรถของคุณจากสินค้าปลอม! นอกจากนี้ผมขอแนะนำว่าไม่ควรซื้อแม็กนุฟิวล์ในราคาที่ต่ำกว่าราคาบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ โปรดจำไว้ว่าการซื้ออุปกรณ์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงราคาถูกไม่ได้เป็นเพียงแต่เสียเงินเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นอันตรายต่อรถของคุณอีกด้วย

หลังจากการจัดเก็บภาษีเพื่อเป็นการลงโทษที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียแล้ว การสั่งซื้อแม็กนุฟิวล์แบบเดิมในเร็วๆนี้จะยังคงไม่สามารถทำได้ แต่ผมเดาว่าเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น คุณจะยังคงสามารถซื้อมันได้โดยผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการนี้ได้ถ้าคุณต้องการ


 





ที่มา: http://www.fuel-tip.com/









วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

คมปานมีดโกน!!! มาดูการทดสอบความคมของฟันปลาปิรันยา ( ชมคลิป )


คมปานมีดโกน!!! มาดูการทดสอบความคมของฟันปลาปิรันยา

  คลิปนี้ปลาปิรันยาถูกจับตัวขึ้นมาทดสอบความคมของฟันมัน โดยกัดเศษไม้ ปรากฏว่าขาดเหมือนเราเอากรรไกรตัดอย่างไรอย่างนั้นเลย
ดูแล้วเสียวๆ น่ากลัวเหมือนกัน...

ชมวีดีโอ


ปลาปิรันยากินเนื้อเป็นอาหาร มักอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ พบในแม่น้ำอเมซอน และแม่น้ำหลายสายในทวีปอเมริกาใต้ มีฟันที่แหลมคมรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ มีส่วนหัวขนาดใหญ่
มีกล้ามเนื้อบริเวณกระพุ้งแก้มแข็งแรง ใช้สำหรับกัดกินเนื้อของสัตว์ที่ตกลงไปอยู่ใกล้ที่อยู่เป็นอาหาร โดยเฉพาะสัตว์ที่ตื่นตระหนกตกใจ หรืออยู่ในภาวะอ่อนแอบาดเจ็บ
เสียงตูมตามของน้ำที่กระเพื่อม จะดึงดูดปลาปิรันยาเข้ามาอย่างว่องไว ซึ่งปลาปิรันยาจะใช้ฟันที่แหลมคมกัดกินเนื้อของสัตว์ใหญ่จนทะลุไปถึงกระดูกสันหลังได้เพียงไม่กี่นาที
ความดุร้ายของปลาปิรันยาแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิด[3] แต่เชื่อว่าปลาปิรันยาทุกชนิดสามารถตรวจจับกลิ่นเลือดในน้ำแม้เพียง 50 แกลลอน เหมือนกับปลาฉลาม



ภาพประกอบ ปลาปิรันยากินคน





วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สะเทือนทั้งโลก!!!…App facebook เฟซบุ๊คเสียท่าข่าวปลอม แจ้งเตือนมั่ว ความเสียหายมาเยือน



สะเทือนทั้งโลก!!!…App facebook เฟซบุ๊คเสียท่าข่าวปลอม แจ้งเตือนมั่ว ความเสียหายมาเยือน

   มีรายงานมาว่า เมื่อคืนวันที่ 27 ธันวาคม 59 เกิดความสับสนในโลกออนไลน์เมื่อจู่ๆ Facebook ได้แจ้งเตือนให้ระบุตนเองปลอดภัยในช่วงเกิดเหตุระเบิดในกรุงเทพมหานคร จนสร้างความสับสนให้กับชาวโซเชียล
ทั้งนี้ในโลกออนไลน์ต่างแชร์ว่าเป็นข่าวปลอม หรือโดนพวกเว็บคลิกเบท ที่เอาข่าวราชประสงค์เมื่อนานแล้ว มารีรันอีกครั้ง
และจี้ให้เฟสบุ๊คออกมารับผิดชอบกับเหตุกาณ์ระบบที่ผิดพลาดจนเกิดความตื่นตระหนก
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 59 ทางเฟสบุ๊คได้ไว้กล่าวว่า
  • มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยอมรับว่ามีข่าวปลอมในเฟซบุ๊กอยู่จริง แต่น้อยเกินกว่าจะส่งผลต่อการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านมา และอ้างว่ากว่า 99% ของคอนเทนต์ที่ผู้คนเห็นนั้นเป็นข้อมูลที่มาจากสื่อจริง
  • สื่อมวลชนและนักวิชาการโจมตีว่า หากเฟซบุ๊กไม่ยอมจัดการกับข่าวปลอม จะส่งผลให้ข่าวเหล่านั้นสะพัดไปอย่างรวดเร็วด้วยระบบอัลกอริทึม และติด Trending Topics ทำให้ผู้สนับสนุนฝ่ายฮิลลารีและคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะโหวตใครเห็นข่าวปลอมที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์เชิงลบของฮิลลารี เช่น ข่าวปลอมกรณีผู้สืบสวนเอฟบีไอคดีอีเมลฮิลลารีถูกสังหาร
  • สิ่งที่น่ากังวลกว่าข่าวปลอมก็คือ เมื่อระบบอัลกอริทึมทำหน้าที่เป็น ‘บรรณาธิการ’ แทนมนุษย์ และคัดกรองเฉพาะข้อมูลที่คิดว่าผู้ใช้งานอยากรู้ อยากเห็นเท่านั้น เราจะรับมือกับความท้าทายครั้งนี้อย่างไร

ในที่สุด เฟซบุ๊กกับกูเกิลก็ออกมาประกาศมาตรการจัดการกับเว็บไซต์ข่าวปลอมแล้ว หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกรณีข่าวปลอมที่สะพัดบนโลกออนไลน์ ทั้งในกูเกิล เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ที่อาจส่งผลต่อชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านมา     แต่รายที่โดนหนักสุด คงหนีไม่พ้นเฟซบุ๊ก ซึ่งถูกโจมตีอย่างหนักว่าเต็มไปด้วยบทความ ข่าวสาร และเว็บไซต์ ที่นำเสนอเนื้อหาหลอกลวง ไม่เป็นความจริง เช่น กรณีสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสออกมาสนับสนุนทรัมป์ และข่าวการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่สืบสวนคดีอีเมลของ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งในช่วงเวลานั้นทีมงานเฟซบุ๊กไม่ได้ออกมาจัดการแต่อย่างใด
เมื่อวันเสาร์ที่ 12 พ.ย. 2559 มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้โพสต์ชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวบนเฟซบุ๊กของเขาว่า ในบรรดาคอนเทนต์ทั้งหมดบนเฟซบุ๊กกว่า 99% ที่ผู้คนเห็นนั้นเป็นข้อมูลที่มาจากสื่อจริง ส่วนข่าวปลอมและเว็บข่าวลวง (hoax) ถือว่ามีน้อยมาก พร้อมกับย้ำว่าปริมาณของข่าวลือในเฟซบุ๊กนั้นไม่ได้อยู่ในระดับที่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการเลือกตั้งครั้งนี้ได้



หลังจากเผชิญกับกระแสวิจารณ์อย่างหนัก วันที่ 15 พ.ย. 2559 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าเฟซบุ๊กได้ปรับนโยบายโฆษณาเพื่อแบนเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย หลอกลวง ไม่เป็นจริง รวมทั้งบรรดาข่าวปลอม ขณะที่บริษัท Alphabet ของ Google กำลังปรับนโยบายป้องกันห้ามไม่ให้เว็บไซต์ที่นำเสนอเนื้อหาไม่ถูกต้องลงโฆษณากับ AdSense ซึ่งอยู่ในเครือของกูเกิล     แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะสื่อมวลชน นักวิชาการ หรือแม้แต่ผู้ใช้สื่อออนไลน์เองยังคงตั้งข้อสงสัยว่า ข่าวลวงเหล่านี้มีอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อระบบอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มเหล่านี้เข้ามามีบทบาทในการ ‘คัดกรองข้อมูล’ บนนิวส์ฟีดของผู้ใช้งาน จนเกิดกระแสเรียกร้องให้เฟซบุ๊ก ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์รายอื่น ออกมาแสดงความรับผิดชอบ
เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ในแง่มุมเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น The Momentum จึงชวน สโรจ เลาหศิริ ผู้มีความรู้ด้านสถิติสารสนเทศ มีประสบการณ์ด้านแบรนด์และดิจิทัลมากว่า 6 ปี และ จิตต์สุภา ฉิน ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และนักเขียน ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์และผลลัพธ์ที่อาจตามมา ตั้งแต่วิกฤตข่าวปลอมและข้อเท็จจริงที่ว่า เครื่องจักร Big Data และเทคโนโลยี AI เข้ามามีส่วนร่วมในศึกเลือกตั้งมากกว่าที่เคย

เข้าใจระบบการทำงานของอัลกอริทึมที่ตกเป็นจำเลยจากการสะพัดข่าวลวง
ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊กเคยถูกวิจารณ์เรื่องข่าวปลอมและการเลือกข่าวในกระแสหรือ Trending Topics อยู่หลายหน (จึงเปลี่ยนจากทีมงานมาให้ระบบคำสั่งทำงานแทน) และทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นในช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อมีการเผยแพร่ข่าวลวงเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเอนเอียงไปสนับสนุนฝ่ายทรัมป์มากกว่า อย่างไรก็ตาม มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้ออกมาปฏิเสธทั้งข้อกล่าวหาที่ว่าเฟซบุ๊กนั้นมีอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้ง และการเผยแพร่ข่าวปลอมนั้นเป็นปัญหาหลักของระบบอัลกอริทึมของเฟซบุ๊ก
สโรจมองประเด็นนี้ว่า อัลกอริทึมจะเป็นตัวการจริงหรือไม่นั้น เราต้องเข้าใจหลักการทำงานของมันเสียก่อน “เป้าหมายของการจัดอัลกอริทึมคือ การนำเสนอ ‘The right message to the right person at the right time’ หน้านิวส์ฟีดของเฟซบุ๊กก็เปรียบเสมือนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ ซึ่งคนไม่ได้ใช้เวลากับมันมาก เพราะฉะนั้น อัลกอริทึมจะทำงานโดยเลือกคอนเทนต์ที่ถูกต้อง เพื่อให้คนมี engage เยอะ”
สโรจอธิบายต่อว่าหลักการพื้นฐานของอัลกอริทึมบนเฟซบุ๊ก ประกอบด้วย

1. Affinity ผู้ใช้งานสนใจและมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับคอนเทนต์ประเภทไหนเป็นประจำ ก็จะเห็นคอนเทนต์ประเภทนั้นบนนิวฟีดส์ของตัวเอง
2. Weight ผู้ใช้งานมีแนวโน้มที่จะเห็นคอนเทนต์ที่มีความสำคัญ โดยประมวลผลจากคอนเทนต์ที่ผู้ใช้งานไลก์ คอมเมนต์ และแชร์บ่อยๆ
3. Time Decay เช่น เพจที่เราไม่ค่อยได้ติดตามหรือใช้เวลาน้อยลง โอกาสที่จะเห็นคอนเทนต์ของเพจนี้ก็จะลดลงไปด้วย
“เฟซบุ๊กมองว่าพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนคือ ไทม์ไลน์ คุณคงไม่อยากแชร์อะไรที่ไม่ใช่คุณ เพราะฉะนั้น การแชร์คือคุณได้สละพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของคุณเพื่อแชร์ข่าวเรื่องนั้น และเฟซบุ๊กก็จะรู้ว่านี่คือเรื่องสำคัญที่สุดของคุณ
“ทีนี้ กลับมาที่ข่าวปลอม การที่มีข่าวปลอมขึ้นมา ส่วนหนึ่งมันคือการปลุกปั่น โจมตี มันคือการชกใต้เข็มขัด ซึ่งผมตอบไม่ได้จริงๆ ว่าใครทำ ทีมงานทรัมป์อาจจะปล่อย หรือพวกสนับสนุนทรัมป์ที่ต้องการทำลายคู่แข่ง หรือเป็นข่าวที่วิกิลีกส์ปล่อยออกมา ผลที่เกิดขึ้นคือข่าวปลอมของฮิลลารีที่มีถ้อยคำหรือข้อความเกี่ยวกับการเมืองก็จะป๊อปอัพบนนิวส์ฟีดของคนที่เชียร์ฮิลลารี หรือมีแนวโน้มจะซัพพอร์ตฮิลลารี
“สำหรับคนที่เป็นกลางหรือยังตัดสินใจไม่ได้ (Swing Voters) เขาก็จะเห็นคอนเทนต์ทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตจากการแชร์ของเพื่อนทั้งสองฝ่าย แต่เฟซบุ๊กฉลาดพอจะรู้ว่าอะไรที่เป็นเทรนด์อยู่ (ติด Trending Topics ของเฟซบุ๊ก) เช่น ข่าวปลอมกรณีเอฟบีไอที่สืบสวนคดีฮิลลารีติด Trending ปรากฏว่าเพื่อนที่เป็นฝั่งทรัมป์ก็แชร์สิ พอคนแชร์เยอะ เขาก็จะเห็นข่าวนั้นโดยอัตโนมัติ”
หากจะกล่าวหาว่าระบบอัลกอริทึมเป็นตัวการสำคัญเดียว โดยไม่สืบสาวไปถึงต้นตอของข่าวปลอมเลยก็คงไม่ยุติธรรมนัก เว็บไซต์ BuzzFeed เปิดเผยว่ากลุ่มวัยรุ่นในประเทศมาซิโดเนียได้รวมตัวกันสร้างเว็บข่าวปลอมที่สนับสนุนทรัมป์ขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 140 เว็บไซต์! (ซ้ำยังตั้งชื่อให้ดูเหมือนเป็นเว็บไซต์อเมริกัน) และข่าวเหล่านี้ถูกแชร์ในเฟซบุ๊กอย่างรวดเร็ว เช่น worldpoliticus.com, trumpvision365.com, usconservativetoday.com, donaldtrumpnews.co และ usadailypolitics.com
เครื่องจักร ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ เมื่อสมรภูมิเลือกตั้งไม่ได้มีแค่ ‘คน’ เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ The Momentum เคยเขียนบทความวิเคราะห์บทบาทของเทคโนโลยี Big Data ในมิติของการเมือง (อ่านบทความ ฺBig Data ชี้ชะตา ใครคือผู้นำคนใหม่ของอเมริกา ว่าการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้เป็นสงครามที่ประชันกันด้วยข้อมูล เพราะข้อมูลก็คืออำนาจใหม่
สำนักข่าวไทยพับลิก้าวิเคราะห์ว่า ส่วนหนึ่งของความสำเร็จของทรัมป์ คือ ความสำเร็จของการทำโพล และความสำเร็จของการจัดการวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่ทันสมัย อันหมายถึง Project Alamo
ก่อนผลการเลือกตั้งจะออกมา ลูกเขยของทรัมป์ได้ว่าจ้างบริษัท Cambridge Analytica และทีมงานจากซิลิคอนวัลเลย์มาทำงานร่วมกัน เพื่อรวบรวมฐานข้อมูลผู้สนับสนุนทรัมป์ และวิเคราะห์ข้อมูลของ Swing Voters และจัดการโจมตีคู่แข่งอย่างฮิลลารี ด้วยการปล่อยข้อมูลและข่าวที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของฮิลลารีไปยังฐานผู้สนับสนุนของเธอ
สโรจกล่าวว่ากลยุทธ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนวงการดิจิทัล
“โดยทฤษฎีแล้ว Project Alamo มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลยในวงการดิจิทัล มันคือ re-targeting ที่เราเจอกันทุกวัน กับ Facebook Ads ที่เราทำ A/B Testing (การทดสอบกลยุทธ์การโฆษณาเพื่อเปรียบเทียบว่าวิธีไหนให้ผลลัพธ์ดีกว่ากัน)
แต่ A/B Testing นี้ไม่ได้ทำโดยมนุษย์ ถ้าพูดถึงทฤษฎีเรื่อง AI มันเป็น A/B Testing ที่ถูกรันโดย Programmatic Advertising ซึ่งก็คือการใช้หุ่นยนต์ในการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายแน่นอน เพราะว่าอเมริกาเขาก้าวหน้าเรื่องนี้ เขาใช้แน่ๆ ทีนี้สิ่งที่ผมสงสัยอย่างหนึ่งคือ การทำ Programmatic Advertising หรือใช้เทคโนโลยี AI ปกติแล้วจะมีการป้อนข้อมูล (input) เพื่อสอนเครื่องจักรให้เรียนรู้ ทำงาน และ optimise แต่ผมไม่รู้ว่าข้อมูล input เกี่ยวกับคนที่ซัพพอร์ตทรัมป์และฮิลลารีชอบอะไร อยู่รัฐไหน ผมไม่รู้ว่าเขาเอามาจากไหน อย่างไร มันเป็นข้อมูลเชิงบุคคลมากๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หุ่นยนต์มันจะยิ่งทำงานแม่น ถ้าคุณให้ข้อมูลที่ดี ถูกต้อง สอนมันด้วยหลักที่ถูก สมมติว่านักวิทยาศาสตร์ข้อมูลได้วิเคราะห์แล้วว่านี่คือคนกลุ่มที่ swing อยู่ ไม่แน่ใจว่าจะเชียร์ใคร แล้วถ้าเขาสามารถ crack ได้ว่าคนกลุ่มนี้อยู่รัฐไหน กี่เปอร์เซ็นต์ ชอบอะไรยังไง เขาก็จะยิงข้อความ และ optimise ไปเรื่อยๆ ก็มีผลครับ”



ภัยต่อประชาธิปไตย หรือความน่ากลัวของสังคมฟองอากาศ?
นอกจากประเด็นข่าวปลอมแพร่ระบาดแล้ว อิทธิพลของสื่อออนไลน์ต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ที่ออกมาพลิกโผ ก็ทำให้หลายๆ ฝ่ายตระหนักถึงผลกระทบที่มองไม่เห็นจากอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย นักวิจารณ์จากเว็บไซต์ต่างประเทศตั้งคำถามว่าถ้าระบบการทำงานของเฟซบุ๊กซึ่งเป็นสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก ส่งผลต่อการเลือกตั้งที่ผ่านมาจริง แล้วจะสั่นคลอนประชาธิปไตยหรือไม่ ขณะที่สื่อมวลชนพากันพูดถึงทฤษฎี ‘ฟองสบู่’ หรือ Filter Bubble ของ เอลี ปารีเซอร์ นักเคลื่อนไหวทางอินเทอร์เน็ต อีกครั้ง
ปารีเซอร์เคยกล่าวบนเวที TED ว่าความหมายของอินเทอร์เน็ตแตกต่างไปจากเดิมมาก จากที่เคยเชื่อมโยงทุกคนในโลกเข้าด้วยกัน ปัจจุบันพื้นที่ออนไลน์และเว็บไซต์ข่าวมีระบบกลไกคัดกรองข้อมูลตามความชอบและสิ่งที่ผู้ใช้งานมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบด้วยบ่อยๆ กลายเป็นว่าเรากำลังอยู่ในฟองสบู่ที่รับรู้เฉพาะบางข้อมูลข่าวสารเท่านั้น
“มันกำลังผลักดันเราไปสู่โลกอินเทอร์เน็ต แสดงให้เราเห็นสิ่งที่มันคิดว่าเราอยากเห็น แต่ไม่จำเป็นว่าเป็นสิ่งที่เราควรเห็น”
ทางเว็บไซต์ Vox ได้นำเสนอบทความวิจารณ์เฟซบุ๊กอย่างเผ็ดร้อน พร้อมระบุว่าปัญหาใหญ่ในเวลานี้ก็คือ อินเทอร์เน็ตได้ทำลายเส้นแบ่งระหว่างการรวบรวมข่าวอย่างมืออาชีพกับการปั่นข่าวลือของมือสมัครเล่นไปแล้ว และการแพร่ระบาดของบรรดาเว็บคลิกเบตและเว็บข่าวปลอม เช่น Denver Guardian (ซึ่งออกแบบเหมือนหนังสือพิมพ์ Colorado) ก็สามารถเข้าถึงผู้อ่านวงกว้างได้เช่นเดียวกับสำนักข่าวใหญ่ๆ





Photo: BuzzFeed News
จิตต์สุภา ฉิน มองว่าประเด็นนี้ไม่น่าจะถึงขั้นทำลายระบอบประชาธิปไตย “เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ประชาชนของเขามีสิทธิเท่าเทียมกันในการที่จะไปเลือกตั้งผู้สมัครประธานาธิบดีที่พวกเขาชื่นชอบ ไม่ว่าความชื่นชอบนั้นจะมีพื้นฐานมาจากการเสพข่าวประเภทไหนมาก็ตาม
“แต่ข่าวปลอมหรืออัลกอริทึมของเฟซบุ๊กนั้นมีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกใครหรือไม่ อันนี้มีส่วนแน่นอน อย่างที่บอกไปว่าตอนนี้เราใช้เฟซบุ๊กเป็นประตูเปิดเข้าไปหาข่าวที่เราต้องการเสพ หรือบางทีจังหวะที่รวดเร็วของการใช้ชีวิตประจำวันก็ทำให้เราอ่านแค่พาดหัวข่าวสั้นๆ บนเฟซบุ๊กเท่านั้น ทำให้การทำข่าวปลอมสามารถทำได้ง่าย แค่สร้างเว็บไซต์ใหม่ขึ้นมาแบบง่ายๆ พาดหัวเรียกแขกสักหน่อย แล้วเอามาแปะไว้บนเฟซบุ๊ก บางครั้งคนยังไม่ทันอ่านก็แชร์ต่อไปแล้ว ในขณะที่อัลกอริทึมของเฟซบุ๊กมีแนวโน้มจะเสนอข่าวที่ใกล้เคียงกับข่าวที่เราคลิกอ่านมาให้เราอ่านต่อ ก็อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจว่าข่าวจากทุกที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันได้”
เมื่อเส้นแบ่งความจริงกับความลวงพร่าเลือนในยุคดิจิทัล เราควรเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ครั้งนี้?
ทางเฟซบุ๊กและกูเกิลยืนยันว่าจะเร่งหาทางแก้ไขจัดการกับปัญหานี้โดยเร็วที่สุด โดยกูเกิลได้ออกโรงเปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ B.S. Detector ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Chrome extension ซึ่งจะแจ้งเตือนโพสต์ที่เข้าข่ายนำเสนอเนื้อหาหลอกลวงจากการเสิร์ชบนเว็บกูเกิล แต่ดูเหมือนว่าประเด็นนี้จะยังคงถูกจับตามองและถกเถียงกันไปอีกนาน
แล้วเราควรเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้?
ถึงแม้ว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จะปฏิเสธว่าเฟซบุ๊กไม่ใช่สื่อ แต่เป็นบริษัทเทคโนโลยี แต่บทเรียนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น กรณีอาหรับสปริง การปฏิวัติร่มในฮ่องกง มาจนถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปีนี้ ก็ยากจะปฏิเสธว่าพลังของโซเชียลมีเดียมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในทุกมิติ และเมื่อเทคโนโลยีรุดหน้าไปไกล ผลกระทบที่ตามมาก็ยิ่งทวีความหลากหลายซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
หรือนี่จะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าโลกอินเทอร์เน็ตจะเข้าสู่ช่วง ‘ขาลง’?
“เฟซบุ๊กไม่ใช่สื่อ เพราะไม่ได้ผลิตเนื้อหาข่าวเอง พอๆ กับกูเกิลที่แสดงผลคำค้น ไม่ได้ทำเว็บทั้งหมดเหล่านั้นเอง” จิตต์สุภา ฉิน กล่าว
“ภัยที่แท้จริงน่าจะเป็นการ ‘ยาวไปไม่อ่าน’ หรือภาวะ ‘ไม่ฉุกคิด’ ของตัวผู้ใช้โซเชียลมีเดียเองนี่แหละค่ะ เฟซบุ๊กหรือกูเกิลก็ช่วยป้องกันให้เราได้ในระดับหนึ่ง แต่เลยจากนั้นไปทุกคนก็ควรต้องช่วยเหลือตัวเองด้วย คลิกอ่านรายละเอียดข่าวให้หมด สังเกตชื่อเว็บไซต์ หรือ URL ของเว็บที่เราอ่านว่าน่าเชื่อถือหรือเปล่า แล้วอะไรที่ไม่แน่ใจเราก็หาข้อมูลเพิ่มเติมเอา เช่น พาดหัวข่าวบอกว่า ทรัมป์พูดในสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ แม้เราอยากคลิกแชร์ทันทีเพราะมันดูดราม่าเหลือเกิน แต่ก็ควรกดเข้าไปอ่านก่อนว่าเนื้อข่าวเขาว่าอย่างไร หรือหากมีคลิปที่เขาพูดก็กดเข้าไปฟังบริบทรอบด้านให้ครบทั้งหมด แล้วค่อยตัดสินใจด้วยตัวเองว่าเราคิดอย่างไรกับข่าวนั้น”
“แต่ละสื่อ แต่ละประเภท ล้วนก็มี agenda ของตัวเองในการนำเสนอข่าว ไม่สามารถพึ่งพาได้ว่าจะตรงไปตรงมาเสมอไป ไม่ใช่เพียงแค่สื่อออนไลน์ แต่สื่อที่ได้รับการยอมรับนับถืออย่างสื่อทีวีเองก็เช่นเดียวกัน คนเสพข่าวควรทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน แต่สื่อที่นำเสนอข่าวเท็จ หรือข่าวคุณภาพต่ำนั้น กลไกทางสังคมออนไลน์ก็จะค่อยๆ กำจัดสื่อเหล่านั้นออกไปเองในที่สุด” จิตต์สุภา ฉิน กล่าว



เว็บข่าวปลอม telegraph-tv.co.uk นำเสนอข่าวการเสียชีวิตของ ทักษิณ ชินวัตร
ที่มา: manager.co.th
ขณะที่สโรจเห็นว่า “เราถูกเครื่องจักรควบคุมโดยไม่รู้ตัวเลย พวกระบบอัลกอริทึมบนเฟซบุ๊ก เพราะฉะนั้น ทางแก้ไขมันไม่ใช่การไปปรับอัลกอริทึมของเฟซบุ๊ก หรือบอกให้มาร์กเปลี่ยน จะไปบังคับคนดูได้ยังไงล่ะ เพราะเขาไลก์เพจแบบนี้ เขาก็คงมีหลักการของเขาอยู่แล้ว มันก็ต้องไปเปลี่ยนที่คนครับ”
ทั้งนี้ เราต้องไม่ลืมว่ากรณีข่าวปลอมนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยอีกมากมายที่ถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนอในฐานะ ‘อิทธิพลที่ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งสหรัฐฯ’ และ The Momentum ก็ได้นำเสนอบทความวิเคราะห์เบื้องหลังชัยชนะของทรัมป์และความพ่ายแพ้ของฮิลลารีอย่างหลากหลาย
อย่างน้อยที่สุด เราควรเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมกับสิ่งที่รออยู่ในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งครั้งต่อไป หรือแม้แต่การใช้สื่อสังคมออนไลน์จะยิ่งมีปัจจัยภายนอกเพิ่มขึ้นมาอีกมหาศาล เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์พัฒนาไปจนถึงจุดสูงสุด ถึงเวลานั้น แค่ ‘วิจารณญาณการรับสื่อ’ ของมนุษย์เองก็อาจยังไม่เพียงพอ

ดังที่ เอลี ปารีเซอร์ ได้อธิบายว่า เราได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคที่ ‘อัลกอริทึมกลายเป็นบรรณาธิการ’ ในสังคมแห่งการกระจายข่าวสารแทนมนุษย์แล้ว
ปัญหาคือ อัลกอริทึมเหล่านี้จะตัดสินใจว่าผู้ใช้งานแต่ละคนควรเห็นอะไร และไม่ควรเห็นอะไร แต่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องจรรยาบรรณของบรรณาธิการ
“เราต้องมั่นใจได้ว่ามันไม่ได้แสดงเพียงสิ่งที่สัมพันธ์กับเราอย่างเดียว เราต้องมั่นใจได้ว่ามันจะแสดงสิ่งที่เราไม่สบายใจที่จะดู ที่ท้าทาย หรือสิ่งที่สำคัญต่อเราเช่นกัน”

ที่มา:themomentum.co
http://www.depth.zocialx.com/5987













เลี่ยงรถติด!!! ทางหลวงแนะนำทางเลี่ยงรถติด ขึ้นเหนือล่องใต้ช่วงปีใหม่


เลี่ยงรถติด!!! ทางหลวงแนะนำทางเลี่ยงรถติด ขึ้นเหนือล่องใต้ช่วงปีใหม่

    ทางหลวงนำข้อมูลเส้นทางลัดเส้นทางเลี่ยง เดินทางจากกรุงเทพไปเหนือ-อีสาน-ใต้ ช่วยลดปริมาณการกจราจรติดขัดช่วงเทศกาลปีใหม่ อำนวยความสะดวกประชาชนทั้งขาขึ้นขาล่อง
ธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่คาดว่าจะมีประชาชนใช้บริการทางหลวงเป็นจำนวนมากจึงได้แนะนำเส้นทางเลือกในการเดินทางสู่จังหวัดทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ โดยบูรณาการร่วมกับตำรวจทางหลวงเพื่อบรรเทาและหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด พร้อมลดระยะเวลาในการเดินทาง


สำหรับเส้นทางขึ้นไปภาคเหนือ ได้แนะนำเส้นทางเลี่ยงไว้ทั้งหมด 4 เส้นทาง ประกอบด้วย 1. กรุงเทพฯไป รังสิต (ทางหลวงหมายเลข 1 หรือถนนพหลโยธิน) – จ.อยุธยา – จ.อ่างทอง – จ.สิงห์บุรี (ทางหลวงหมายเลข 32 หรือ ถนนสายเอเชีย) – อ.มโนรมย์ (ทางหลวงหมายเลข 1 หรือ ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่ จ.นครสวรรค์, 2. กรุงเทพฯไป จ.นนทบุรี (ทางหลวงหมายเลข 340 บางบัวทอง – สุพรรณฯ) – จ.สุพรรณบุรี (ทางหลวงหมายเลข 340 สุพรรณฯ – ชัยนาท) – จ.ชัยนาท (ทางหลวงหมายเลข 1 หรือ ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่ จ.นครสวรรค์

เส้นทางที่ 3. กรุงเทพฯไป จ.นครปฐม (ทางหลวงหมายเลข 346 นครชัยศรี – กำแพงแสน) – จ.สุพรรณบุรี (ทางหลวงหมายเลข 321 กำแพงแสน – ด่านช้าง) – จ.อุทัยธานี (ทางหลวงหมายเลข 333 ด่านช้าง – บ้านไร่ – อ.เมืองอุทัยธานี) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จ.นครสวรรค์ และ 4. กรุงเทพฯไป รังสิต – อ.วังน้อย – จ.สระบุรี – จ.ลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข 1 หรือถนนพหลโยธิน) – อ.ตากฟ้า (ทางหลวงหมายเลข 11) จากนั้นมุ่งหน้าสู่ จ.พิษณุโลก

เส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีทั้งหมด 5 เส้นทาง ประกอบด้วย 1. กรุงเทพฯไป จ.สระบุรี (ทางหลวงหมายเลข 1 หรือ ถนนพหลโยธิน) – อ.ม่วงค่อม (ทางหลวงหมายเลข 205) – อ.ท่าหลวง (ทางหลวงหมายเลข 2256) – อ.ด่านขุนทด (ทางหลวงหมายเลข 2148) – อ.ขามทะเลสอ (ทางหลวงหมายเลข 2068) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จ.นครราชสีมา, 2.กรุงเทพฯไป จ.สระบุรี (ทางหลวงหมายเลข 1 หรือถนนพหลโยธิน) – อ.ม่วงค่อม (ทางหลวงหมายเลข 205) – อ.ท่าหลวง (ทางหลวงหมายเลข 2256) – บ.บัวชุม,บ.หนองสอง (ทางหลวงหมายเลข 2234,2247) – อ.ปากช่อง (ทางหลวงหมายเลข 2422) จากนั้นมุ่งหน้าสู่ จ.นครราชสีมา

เส้นทางที่ 3 กรุงเทพฯไป อ.วังน้อย (ทางหลวงหมายเลข 1 หรือถนนพหลโยธิน) – จ.สระบุรี – อ.ปากช่อง – อ.สีคิ้ว (ทางหลวงหมายเลข 2 หรือ ถนนมิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จ.นครราชสีมา,4. กรุงเทพฯไป จ.นครนายก (ทางหลวงหมายเลข 305) – อ.บ้านนา (ทางหลวงหมายเลข 3051, 33) – อ.แก่งคอย (ทางหลวงหมายเลข 3222) – อ.ปากช่อง (ทางหลวงหมายเลข 2 หรือ ถนนมิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จ.นครราชสีมา และ 5. จากกรุงเทพฯไป จ.ฉะเชิงเทรา (ทางหลวงหมายเลข 314) – อ.พนมสารคาม – อ.กบินทร์บุรี – อ.วังน้ำเขียว – อ.ปักธงชัย (ทางหลวงหมายเลข 304) จากนั้นมุ่งหน้าสู่ จ.นครราชสีมา


เส้นทางจากกรุงเทพไปยังภาคใต้ มีทั้งหมด 3 เส้นทาง ประกอบด้วย 1. กรุงเทพฯไป จ.สมุทรสาคร – จ.สมุทรสงคราม (ทางหลวงหมายเลข 35) – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 หรือถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จ.ประจวบคีรีขันธ์ , 2. กรุงเทพฯไป อ.สามพราน – อ.นครชัยศรี – จ.นครปฐม – จ.ราชบุรี – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 หรือถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ 3. กรุงเทพฯไป ถนนบรมราชชนนี (ทางหลวงหมายเลข 338 ปิ่นเกล้า – นครชัยศรี) – อ.นครชัยศรี –จ.นครปฐม – จ.ราชบุรี – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 หรือถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่ จ.ประจวบคีรีขันธ์

อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่จะออกจากรุงเทพและปริมณฑลนั้น คาดว่าปริมาณรถจะหนาแน่นบริเวณต่างระดับบางปะอิน จึงแนะนำให้ไปใช้เส้นทางจากถนนพหลโยธินประมาณกม.40 +500 เลี้ยวซ้ายใช้ทางหลวงหมายเลข 3214 ตรงไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 347 จากนั้นสามารถใช้ทางหลวงหมายเลข 347 จนไปถึงต่างระดับบางปะหันได้

นอกจากนี้ หากต้องการเลี่ยงการจราจรหนาแน่นบริเวณต่างระดับบางปะอิน สามารถ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 จากนั้นตรงไปประมาณ กม.65 ให้เลี้ยวซ้าย ใช้ทางหลวงหมายเลข 309 ตรงไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 32 ได้

ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างการเดินทาง ได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) ศูนย์บริการข้อมูลทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์)  1586 กด 7 ศูนย์บริหารงานอุบัติภัย กรมทางหลวง โทร. (02) 354- 6832 – 6 และตำรวจทางหลวง 1193 (ตลอด 24 ชั่วโมง)

ข้อมูลจาก: 
http://www.autospinn.com/












แรง!!! รถไถนาเดินตามดัดแปลง VS กระบะแต่ง & เก๋ง ( มีคลิป )




รถไถนาเดินตามดัดแปลง VS กระบะแต่ง & เก๋ง

งานนี้บอกห้ามพลาด+++ มาดูการประชันความเร็ว แรง ระหว่าง รถไถนา กับ กระบะแต่ง
รถไถนาเดินตาม เสปคเครื่องยนต์ดีเซล อเนกประสงค์ 14-16 แรงม้า
กระบะก็ประมาณ 120-200 แรงม้า